วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

adidas predator

Adidas Predator (World)
ปุ่มยางรุนแรกจะนูนขึ้นเป็นแฉกๆ มีคำว่า "Predator" บริเวณลิ้นของรองเท้า ด้านข้างรองเท้า ถูกออกแบบให้มี3เส้น มีลักษณะเป็นแฉกแหลมๆ จนเป็นที่มาของโลโก้อดิดาสและสร้างชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ทำมาจากหนังของจิงโจ้ และทำออกมาขาย โดยไม่มีคุณสมบัติพรีเดเตอร์ หรือ นักล่าเลย (also available without Predator elements)  
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Adidas Predator Touch (EURO 1996)


ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการผสม และเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง เอกลักษณะเฉพาะตัวคือ ลิ้นสีแดง ที่พับไปด้านหน้า ปุ่มยางถูกแยกออกเป็นสัดส่วน เริ่มมีการนำสีต่างๆมาใช้ เป็นการเริ่มเข้าสู่ยุคแฟชั่นในวงการรองเท้าฟุตบอล แต่ยังมีนักฟุตบอลอาชีพหลายคนที่ยังต้องการปุ่มแบบธรรมดาอยู่ ทางอดิดาสจึงผลิตออกมา แต่ไม่ได้วางจำหน่าย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Adidas Predator Accelerator (World Cup 1998)





ลายเส้นด้านข้างของอดิดาสดูแปลกตาไปมากกว่าเดิม พื้นยังเป็นแบบใบมีด และไม่สามารถเปลี่ยนปุ่มได้ ทั้ง FG และ SG รองเท้ารุ่นนี้ถูกนักเตะดังๆหลายคนเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น เทพบุตรลูกหนัง "ซีดาน" หรือ เจ้าพ่อแห่งฟรีคิก "เบ็คแฮม" ที่ถูกในออกในฟุตบอลโลกปีนั้นด้วย



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Adidas Predator Precision (EURO 2000; minor update in 2001 Precision 2)


ถูกออกแบบมาใช้ในศึก ยูโรปี 2000 เป็นรุ่นที่เน้นความแม่นยำตามชื่อของรุ่นนี้ แถบเส้นอดิดาสถูกออกแบบให้พริ้วไปทางด้านหลัง ลิ้นรองเท้าสีแดง ถูกออกแบบให้มีลักษณะที่แหลม และมีการนำตีนตุ๊กแก (ตัวที่ฉีกแปะ) เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นรองเท้าพับ ลายยางในรุ่นแรกๆ ถูกปรับปรุงให้สวยงามขึ้น เป็นแถบยาง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Adidas Predator Mania (World Cup 2002; minor update in late 2002 'Mania 2')

เปิดตัวในศึกฟุตบอลโลกที่เกาหลีและญี่ปุ่น ลายอดิดาสถูกออกแบบให้ลงไปที่ฝ่าเท้าแล้วไปขึ้นอีกฝั่ง แถบยางถูกออกแบบให้มีสีขาว เพื่อความสวยงาม ส่วนลิ้นรองเท้าก็เปลี่ยนจากการใช้ ตีนตุ๊กแก เป็นยางรัดแทน เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ (พื้นแบบแยก และHeel Counter) เริ่มมีการพัฒนาสีให้หลากหลายขึ้น และได้รับการตอบรับจากนักฟุตบอลทั่วโลก และมีสีพิเศษคือ "David Beckham's style"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Adidas Predator Pulse (EURO 2004; minor update in 2005 Pulse 2)

รุ่นนี้มาถึงทางตันของอดิดาสแล้ว เมื่อทุกอย่างถูกพัฒนามาถึงขีดสูงสุด(ในยุคนั้น) แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้านี้เลย จะเปลี่ยนก็แค่แถบยางสีเปลี่ยนจากสีขาว กลายเป็นสีแดง ทางอดิดาสได้จัดทำให้กับเบ็คแฮม ถึง4ชุดด้วยกันคือ 3รุ่นคือรุ่นธรรมดา คือ ลายมังกร ลายหยินหยาง และลายนิ้วมือ ส่วนรุ่นพิเศษคือ ลิมิเต็ดหยินหยาง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Adidas Predator Absolute (World Cup 2006; Rugby version in November 2006 Absolute Rugby)

มีระบบ X-TRX เหมือนรุ่นก่อนๆ และมีความพิเศษคือ Power Pulse สามารถเปลี่ยนพื้นและปุ่มได้ คือระบบนี้ส่งผลให้ จุดศูนย์ถ่วงอยู่ใกล้กับจุดของการปะทะทำให้ยิงได้แรง และเร็วขึ้น มีการสั่งออกแบบสีและสามารถปักชื่อลงไปบนลิ้นรองเท้าได้ด้วย ที่สำคัญเดวิด เบ็คแฮม พรีเซนเตอร์คนดังประกาศยกเลิก จากการใช้หนังจิงโจ้ เปลี่ยนมาใช้ยางสังเคราะห์แทน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Adidas Predator PowerSwerve boot (EURO 2008; Rugby version in February 2008 PowerSwerve Rugby)
 

ถือเป็นรองเท้ารุ่นที่ขายดีที่สุดในโลก เป็นรองเท้าที่ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การยิง การเปิด การปั่น เพื่อเพิ่มความคมและความโค้งของวิถีลูกบอล พื้นรองเท้าถูกปรับปรุงจาก แอปโซลูทที่เป็นแท่ง มาใช้ผงทังสเตนแทน เพื่อการถ่ายเทน้ำหนัก และศูนย์ถ่วงที่ดีกว่าขณะเกิดการปะทะกับลูกบอลมีการออกแบบรองเท้าให้เหมาะกับบุคคลทุ
กๆตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น Power (สำหรับ พวกที่เน้นพลัง) Swerve (สำหรับ พวกที่ชอบเลี้ยงและเน้นลีลา) Control (สำหรับ พวกที่ชอบความแม่นยำ การวางบอล การจับลูก)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Adidas Predator X


จากปี 1994 ที่รองเท้า Predator เกิดขึ้นด้วยการปฏิวัติวงการรองเท้าฟุตบอลหรือรองเท้าสตั๊ด ด้วยเอกลักษณ์ยางปั่นลูกบอลที่ข้างเท้าด้านในของ Predator และยังคงเป็นเอกลักษณ์สำคัญของรองเท้าสตั๊ดรุ่นนี้มาจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นรุ่นที่ 10 โดยมีชื่อว่า Predator X “X” คือเลข 10 ในแบบของเลขโรมัน

Predator X นี้เป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด ยางปั่นลูกบอลเป็นรูปแบบใหม่ที่มีความเหนียวกว่าเดิม และใช้งานได้ดีทั้งในสภาพสนามที่แห้งและเปียก หนังรองเท้าเป็นหนังวัวกระทิง (Taurus) มีความทนทานกว่าเดิมและรักษาความนุ่มสบายไว้ แถมเบาขึ้น



เทคโนโลยีเสริม ได้แก่ OptiFIT เป็นการผสมผสานของการใช้วัสดุกับเทคโนโลยีการประกอบรองเท้า เพื่อให้เข้ากับรูปทรงเท้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ และให้ความรู้สึกที่ดีสูงสุดเมื่อสัมผัสลูกบอล Powerspine พื้นรองเท้าชั้นในออกแบบตามสรีระธรรมชาติของเท้า เสริมด้วยวัสดุที่แข็งแรงทนทาน ป้องกันการหักงอมากเกินไปของกระดูกฝ่าเท้าขณะเหยียดเตะลูกบอล ลดโอกาสบาดเจ็บและเพิ่มพลังในการเตะมากขึ้นถึง 7%

X-Traxion พื้นรองเท้าชั้นนอกมีความทนทาน ปุ่มยึดเกาะแบบใบมีด เพื่อสมดุลและความคล่องตัวสูงสุดในการเคลื่อนไหว เกราะหุ้มส้น ให้ความกระชับและป้องกันการบาดเจ็บของส้นเท้า พื้นรองชั้นใน ให้ความนุ่มสบายและรองรับแรงกระแทก ขนาดเชือกรองเท้า ยังมีความประณีตในการผลิต ส่วนกลางของเชือกที่ร้อยอยู่กับรองเท้ามีขนาดที่เล็กและแบนกว่า เพื่อให้มีสัมผัสที่ดีที่สุดเมื่อเตะลูกบอล ส่วนปลายของเชือกมีความหนาและใหญ่กว่า เพื่อผูกรัดรองเท้าได้อย่างแน่นกระชับ ไม่หลุดง่าย

สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นเดิมคือ ไม่มีลิ้นรองเท้า เปลี่ยนจากเอกลักษณ์เดิมๆที่เป็นลิ้นยาวปิดลงมา การตัดลิ้นรองเท้าออกและออกแบบใหม่ให้เป็นชิ้นเดียวกับหนังของรองเท้าเพื่อลดน้ำหนัก
ส่วนเกิน เพิ่มความคล่องตัวและให้สัมผัสบอลที่ดีขึ้น





- http://en.wikipedia.org/wiki/Adidas_Predator
- http://www.centralplaza.co.th/ShoppingGuideDetail-th-7-AdidasPredatorX.aspx

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น